ปัจจุบัน Instagram มีผู้ใช้กว่า 1,000 ล้านบัญชี
กว่า 500 ล้านบัญชีเข้าชม IG Stories เป็นประจำทุกวัน
กว่า 200 ล้านบัญชี เข้าชมสินค้าในหน้า shop บนแท็บ Explore ทุกวัน
กว่า 130 ล้าน บัญชีแตะแท็กสินค้าเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมทุกเดือน
คุณเห็นสถิติเหล่านี้ แล้วคุณมองเห็นอะไร??
ส่วนตัวผมมองเห็น “โอกาส” และ “ตลาดขนาดใหญ่” ครับ
ในวันที่ Facebook มีข่าวที่ทำให้เราใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กันอยู่บ่อยๆ ทั้งข่าวข้อมูลรั่วไหล ข่าวการปรับนู่นเปลี่ยนนี่ ที่ดูแล้วธุรกิจอย่างเราท่าจะต้องปรับตัวกันเป็นพัลวัน
ในขณะที่ Instagram ซึ่งเป็นอีกแพลตฟอร์มหนึ่งของเค้ากลับเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง แถมเป็นที่รู้กันว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก อีกทั้งความหนาแน่นของคู่แข่งที่ลงโฆษณาบน IG ก็ยังไม่มากเท่าบน Facebook นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ใครๆ ก็อยากโดดลงมาทำการตลาดบน IG
แต่… ลงมาเล่นวันนี้ มันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนแต่ก่อนแล้วนะครับ คุณจะเข้ามาแบบงงๆ แล้วคิดว่าจะขายได้เลย มันไม่ง่ายแบบนั้นแน่นอน คุณต้องศึกษา เรียนรู้ เข้าใจแพลตฟอร์มนี้ให้ดีเสียก่อน เพราะวันนี้ การขายของบน IG ก็เปลี่ยนโฉมไปพอสมควร และนี่คือประเด็นที่เราจะคุยกันในวันนี้ครับ การขายของบน IG เปลี่ยนไปยังไง? และเราต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?
เริ่มจากไปดูกันก่อนครับว่าหลายปีที่ผ่านมา IG มีพัฒนาการสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างไรบ้าง
1. การมาของ IG Stories
เดือนสิงหาคม 2016 IG ได้เปิดตัว IG Stories อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการแหวกกรอบการนำเสนอแบบ 1:1 ของตัวเอง ออกมาเล่นบนพื้นที่การแสดงผลแบบแนวตั้ง (Vertical) อย่างเต็มตัว ซึ่งอย่างที่รู้กันว่ามันได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนปัจจุบันมี active user ที่ใช้ stories ถึง 500 ล้านบัญชี
ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในจุดประสงค์ที่เค้าสร้าง placement นี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะธุรกิจอย่างเรามีพื้นที่ในการขายของเพิ่มมากขึ้นด้วยแหละครับ
2. การเปิดตัว Shopping posts
เดือนมีนาคม 2017 IG เริ่มเปิดให้ใช้งานฟีเจอร์ที่เรียกว่า shopping posts ซึ่งจะอนุญาตให้แบรนด์แท็กสินค้าลงในโพสต์แบบ organic ได้ โดยพอลูกค้าแตะที่แท็ก ก็จะพาลูกค้าไปยังหน้ารายละเอียดของสินค้าแบบรวดเร็ว ซึ่งปลายทางจะแสดงรูปภาพของสินค้า ราคา คุณสมบัติ สินค้าที่มีความเกี่ยวเนื่อง ไปจนถึงลิงก์ที่จะพาพวกเค้าไปยังเว็บไซต์ของเราเพื่อซื้อสินค้าและบริการโดยตรง
ซึ่งส่วนตัวผมว่าฟีเจอร์นี้ออกแบบมาได้ค่อนข้างลงตัวมาก เพราะมันช่วยให้แบรนด์ขายของได้แบบที่ไม่ทำลายธรรมชาติของแพลตฟอร์ม และไม่ทำลายประสบการณ์ของลูกค้า
ด้วยความที่ธรรมชาติของแพลตฟอร์ม IG จะเน้นไปทาง Visual แบรนด์ก็มักจะโชว์รูปสินค้า โชว์ Lifestyle ให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับการรับชมภาพสวยๆ ไม่ได้มานั่งขายของจ๋าอะไรขนาดนั้น ถ้าลูกค้าจะซื้อของ ก็มักจะต้องติดต่อช่องทางอื่น เช่น Inbox ของ Facebook หรือ Line ซึ่งในบางครั้งอาจทำให้เสียโอกาสในการขาย ณ โมเม้นต์นั้นๆ ไป
ฟีเจอร์นี้เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายนั้นได้พอดี โดยลูกค้าได้รับประสบการณ์การเลือกชมสินค้าตามปกติ และถ้าเค้าสนใจ ก็สามารถแตะที่แท็ก เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม และไปถึงขั้นซื้อสินค้าในเว็ปไซต์ได้เลยทันที
3. เริ่มให้แท็กสินค้าใน Stories ได้
เดือนมิถุนายน 2018 นอกจากแบรด์จะแท็กสินค้าลงในโพสต์ได้แล้ว เค้ายังขยายขอบเขตให้แบรนด์ แท็กสินค้าลงใน Stories ได้อีก ซึ่งบอกได้เลยว่าแบรนด์ไหนที่เริ่มทำคอนเทนต์บน Stories แล้ว ก็จะมีความได้เปรียบกว่าแบบเห็นๆ ครับ
4. เพิ่มหน้า Shop เข้ามาในแท็บสำรวจ (Explore)
เดือนกันยายน 2018 IG ได้สร้างหน้า Shop ในแท็บสำรวจ (Explore) ขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยจะรวบรวมเอา Shopping posts ของแบรนด์ต่างๆ เข้ามารวมอยู่ในนี้ ซึ่งจะเลือกแสดงผลให้เหมาะกับความสนใจของผู้ใช้แต่ละคน ถือเป็นการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่มีความเกี่ยวข้องและเพลิดเพลินยิ่งขึ้นให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงช่วยให้แบรนด์มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ได้มากขึ้น เพราะลูกค้าที่เห็นโพสต์ใน shop ไม่จำเป็นต้อง follow IG ของแบรนด์ก็ได้ครับ
5. เตรียมให้ลูกค้าชำระเงินในแอพได้เลย
เดือนมีนาคม 2019 IG เปิดตัวฟีเจอร์การชำระเงินที่ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าได้จบภายในแอพเลย ไม่ต้องออกไปแพลตฟอร์มอื่นให้เสียเวลา เรียกได้ว่าเป็นการต่อจิ๊กซอว์การสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามฟีเจอร์นี้ยังคงอยู่ในช่วงของการทดลองแค่เฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้นนะครับ ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จและได้ใช้กันทั่วโลก นั่นแปลว่า IG อาจจะกลายมาเป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีบทบาทสำคัญแพลตฟอร์มหนึ่งเลยทีเดียว
เราเรียนรู้อะไรจากการพัฒนาเหล่านี้?
อย่างแรกที่รู้ได้ทันทีเลย คือ “เราขายของแบบเดิมไม่ได้แล้ว” ยุคสมัยของการที่แค่โพสต์เยอะๆ แล้วขายได้ มันหมดไปนานแล้วครับ
แพลตฟอร์มเริ่มพัฒนาไปไกล ถ้าเราอยากขายของบนแพลตฟอร์มนี้ แต่ไม่ยอมพัฒนาตาม หนทางข้างหน้าย่อมริบหรี่แน่นอน เพราะคู่แข่งที่เค้าปรับตัวได้ยังไงเค้าก็ได้เปรียบ
คำถามคือ…ถ้าเราคิดจะต่อสู้อยู่ในสนามนี้ ต้องลองเริ่มถามตัวเองได้แล้วครับ ว่าวันนี้เรามีอาวุธครบมือแล้วหรือยัง?
เราเข้าใจธรรมชาติของแพลตฟอร์มและเข้าใจลูกค้าที่ใช้แพลตฟอร์มนี้มากน้อยแค่ไหน?
เรามีแคตาล็อกสินค้าใน Facebook เพื่อที่จะนำมาทำแท็กสินค้าใน shopping post หรือยัง?
เราได้เรียนรู้วิธีการทำคอนเทนต์แนวตั้งเพื่อใช้ใน Stories มาบ้างรึเปล่า?
เรามีเว็บไซต์เพื่อรองรับคนที่เค้าอยากจะซื้อของทันทีรึยัง?
ถ้ายัง.. คุณต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้แล้วล่ะครับ เพราะส่วนตัวผมคิดว่าแพลตฟอร์มนี้ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องแน่นอน วันนี้ฟีเจอร์อย่าง Shopping posts เค้ายังให้ใช้ได้เฉพาะกับโพสต์แบบ organic แต่คุณลองนึกภาพดูนะครับว่าเค้าปูมาขนาดนี้ ยังไงท้ายที่สุดแล้วโพสต์โฆษณาก็ต้องทำได้เช่นกัน ถ้าวันนี้คุณยังสร้างโพสต์ธรรมดาสู้คู่แข่งไม่ได้ แล้วถ้าถึงวันที่การแข่งขันมันรุนแรงกว่านี้ ในสังเวียนของการทำโฆษณาคุณจะสู้เค้าได้ยังไง? #ฝากไว้ให้คิดดูเล่นๆนะครับ
มีประโยชน์ฝากช่วยแชร์ด้วยนะครับ #MaxideaStudio
ประชาสัมพันธ์
สำหรับท่านใดที่อ่านบทความนี้แล้ว สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับการทำโฆษณา Facebook Ads ต้องการพัฒนาความสามารถในการใช้โฆษณาเฟสบุคเพื่อเพิ่มยอดขาย และ สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ทางเรามีคลาสสอนทำโฆษณาเฟสบุ๊ค “แบบกรุ๊ปขนาดเล็ก” เนื้อหาอัดแน่นตลอด 2 วันเต็ม
รอบการสอนถัดไป
• วันพุธ-พฤหัส ที่ 7-8 ตุลาคม 2563
• เรียนกลุ่มละ 15 คน
• สถานที่เรียน : Maxidea Co-Playing Space (ซอยลาดพร้าว 71)